หลังจากชาวโคราชเอาจริง! รวมพลังทุกภาคส่วนประกาศลั่น รฟท.ต้องทุบทิ้งสะพานสีมาธานีเท่านั้น พร้อมสร้างทางรถไฟยกระดับผ่านตัวเมือง ต้องทำตามมติที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ปี 62 แต่ “การรถไฟ” สรุปไม่ทุบสะพานสีมาธานี เลือกแบบ “รถไฟทางคู่ยกระดับลอดสะพานสีมาธานี” ล่าสุด! “ครม.สัญจรโคราช” สั่งยกระดับยาว 16 กิโลเมตร ข้ามสะพานสีมาธานี เหมือน “รถไฟความเร็วสูง” โดยไม่ต้องทุบสะพาน คาดว่าจะเสนอคณะกรรมการรถไฟฯ ได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เริ่มก่อสร้างในต้นปี 2568 และแล้วเสร็จครบทั้งเส้นทางในปี 2571
หลังจากเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 67 ที่กระทรวงคมนาคม มีการประชุมพิจารณาแนวทางการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีดเทรน) ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา และรถไฟทางคู่ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกระเบา-ชุมทางถนนจิระ ของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่จะใช้พื้นที่บริเวณสะพานสีมาธานี จ.นครราชสีมา เนื่องจากยังมีชาวโคราชพื้นที่ชุมชนรอบสะพาน และภาคเอกชน เรียกร้องให้ “ทุบสะพาน” เพื่อความสะดวกในการเดินทางของประชาชน และการขยายเมืองในอนาคต
โดยสรุปได้ 2 แนวทาง ดังนี้ 1.ก่อสร้างทางรถไฟยกระดับ ลอดใต้สะพานสีมาธานี ซึ่งจะมีช่วงระยะทางรถไฟลดระดับลงลอดใต้สะพานสีมาธานีและขึ้นไปเป็นทางยกระดับ ประมาณ 1,600 เมตร โดยไม่ต้องทุบสะพานสีมา
2.ก่อสร้างทางรถไฟยกระดับ ข้ามสะพานสีมาธานี โดยไม่ต้องทุบสะพานสีมาธานี แนวทางนี้ รฟท. ชี้แจงว่า อาจส่งผลกระทบกับโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา ที่ขบวนรถไฟความเร็วสูงต้องหยุดที่สถานีโคราช และทางคู่เมื่อยกระดับข้ามสะพานสีมาธานีแล้วไม่สามารถลดระดับเพื่อหยุดที่สถานีโคราชได้ เนื่องจากระยะทางไม่เพียงพอ ซึ่งอาจต้องย้ายสถานีโคราชไปอยู่ที่เหมาะสม หรืออาจยกระดับผ่านสถานีโคราชแล้วลดระดับเข้าสู่สถานีจิระแทน
ขณะที่แผนงานของ รฟท. จะไม่ทุบสะพานสีมาธานี ทำให้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน และส่งผลให้ทั้ง 2 โครงการในช่วงบริเวณดังกล่าวไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ซึ่งมติชาวโคราช กรณีสร้างรถไฟทางคู่ช่วงผ่านตัวเมืองนครราชสีมา ในการประชุม อจร.นม. เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ได้สรุปแนวทาง รื้อถอนสะพานสีมาธานี และก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดทดแทน และยังคงยืนยันให้ รฟท.ทำตามมติเดิม
รวมทั้งช่วงผ่านกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี มีความสูงเกิน 5 เมตร ให้รถยนต์ขนาดใหญ่สามารถลอดผ่านได้สะดวก เพื่อลดผลกระทบต่อวีถีชีวิตในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ไม่ได้ข้อยุติและทำให้เส้นทางรถไฟสายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร ช่วงผ่านสถานีรถไฟนครราชสีมา ต้องเป็นคอขวดและขบวนรถรอสับหลีก
กระทั่งเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 67 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.คมนาคม บุกโคราชรับปากจะสั่งรฟท.เร่งทำแบบสร้างทางรถไฟ “ข้ามสะพานสีมาธานี” ไม่ลอดใต้สะพานปิดแยกถนนสืบศิริข้างตะวันแดง และขึ้นไปเป็นทางยกระดับประมาณ 1,600 เมตร โดยไม่ต้องทุบสะพานสีมาธานี ยุติปัญหาเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนให้ได้ในทุกมิติ พร้อมตั้งงบประมาณเร่งด่วน!
ล่าสุด! เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 67 หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 4/2567 ที่ จ.นครราชสีมา นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า “หลังลงพื้นที่ตรวจติดตามโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สัญญาที่ 2 ช่วงคลองขนานจิตร-ชุมทางถนนจิระ อยู่ระหว่างการแก้ไขรูปแบบเป็นทางยกระดับ ช่วงสถานีโคกกรวด-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 16 กิโลเมตร”
“และปรับกรอบวงเงินเพื่อให้สอดคล้องกับโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง งานสัญญาที่ 3-5 เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าต่องบประมาณสูงสุด ไทม์ไลน์ เดือนสิงหาคมนี้ เสนอคณะกรรมการ รฟท. ต้นปี 2568 ประกวดราคา ช่วงกลางปีเริ่มก่อสร้าง ระยะเวลา 24 เดือน คาดแล้วเสร็จปี 2570 (หากไม่ติดปัญหาเพิ่มเติม) และมีทางรถไฟระดับดินเพื่อให้รถไฟเข้าโรงซ่อมรถไฟได้และไม่ทุบสะพานสีมาธานี”
“ส่วนอาคารสถานีนครราชสีมา แบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่างระดับดินเป็นโถงพักคอยผู้โดยสาร ชั้น 2 เป็นชานชาลารถไฟทางคู่ สูงจากพื้น 11 เมตร มี 4 ชานชาลา และ 2 ทางผ่าน ชั้น 3 เป็นชานชาลารถไฟความเร็วสูง สูงจากพื้น 24 เมตร มี 4 ชานชาลา และ 2 ทางผ่าน”
“ส่วนสัญญาที่ 2 ช่วงคลองขนานจิตร–ชุมทางถนนจิระ อยู่ระหว่างการแก้ไขรูปแบบการก่อสร้างเป็นทางยกระดับ ช่วงสถานีโคกกรวด–ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 16 กิโลเมตร รวมไปถึงแก้ปัญหาการรื้อถอนสะพานสีมาธานี กระทรวงฯ ได้มีนโยบายให้การรถไฟฯ ก่อสร้างเป็นทางยกระดับข้ามสะพานสีมาธานี โดยการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับโครงการรถไฟทางคู่ทั้งสองสัญญานี้ คาดว่าจะเสนอคณะกรรมการรถไฟฯ ได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เริ่มก่อสร้างในต้นปี 2568 และแล้วเสร็จครบทั้งเส้นทางในปี 2571”
“ในปี 2571 จะเป็นปีที่ระบบรางสายอีสานแล้วเสร็จสมบูรณ์ ทั้งรถไฟทางคู่เฟสแรกจะเปิดให้บริการได้ถึงชุมทางจิระ ลดระยะเวลาการเดินทางได้ 1 ชั่วโมง ขณะเดียวกันรถไฟไฮสปีดเฟสแรกจะแล้วเสร็จ เชื่อมต่อการเดินทางจากกรุงเทพฯ – นครราชสีมา” รมช.คมนาคม กล่าว