เปิดใจนักการเมืองหนุ่มโคราช “โจ้-องอาจ” ลูกบุญธรรม“ป๋าเปรม” ของครอบครัว“พฤกษ์พนาเวศ” เผยชีวิตเคล็ดลับ “ป๋าเปรม”สุขภาพแข็งแรงอายุยืนถึง 99 ปี กับคำสอนถ้าเล่นการเมืองอย่างจริงจัง ก็ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า “เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน”
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษ และอดีตประธานองคมนตรี ถือว่าเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ชาติไทย และมีความผูกพันกับ จ.นครราชสีมา เป็นอย่างมาก โดยท่านเคยดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 คนที่ 14 ระหว่างปี พ.ศ.2517-2520 หลังจากนั้นก็มีเส้นทางชีวิตในตำแหน่งสำคัญมากมาย อาทิ เป็นผู้บัญชาการทหารบก, รมว.กลาโหม, นายกรัฐมนตรีคนที่ 16, รัฐบุรุษ, ประธานองคมนตรี และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ถึงแม้ว่าท่านจะมีตำแหน่ง ภาระหน้าที่มากมาย ในอีกมุมหนึ่งของชีวิต ท่านก็มีชีวิตเป็นคุณปู่ธรรมดาๆ ของลูกหลานเหมือนคนทั่วไป
โดยเฉพาะกับครอบครัวหนึ่ง ใน จ.นครราชสีมา ซึ่งถือว่าเป็นครอบครัวที่มีความผูกพันกับ พล.อ.เปรม เป็นอย่างมาก ที่ตึกแถว 3 ชั้นครึ่ง เลขที่ 315/1-2 ถนนมิตรภาพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา เป็นที่พักอาศัยของครอบครัวพฤกษ์พนาเวศ โดยมีนายองอาจ พฤกษ์พนาเวศ อายุ 48 ปี ซึ่งถือว่าเป็นคนที่ พล.อ.เปรม รักและเอ็นดูเหมือนลูกบุญธรรม ได้พาเข้าไปดูภายในบ้าน ซึ่งมีภาพถ่ายครอบครัว กับ พล.อ.เปรม อยู่นับไม่ถ้วน ใส่กรอบรูปประดับตามมุมต่างๆ ของบ้านอยู่เป็นจำนวนมาก ภายในบ้านเป็นไปโดยเรียบง่ายสไตล์คนไทยเชื้อสายจีนทั่วไป โดยมีนางนงลักษณ์ พฤกษ์พนาเวศ วัย 72 ปี ผู้เป็นแม่มาคอยให้การต้อนรับ
นายองอาจ พฤกษ์พนาเวศ หรือที่คนโคราชรู้จักกันในนาม สจ.โจ้ (เคยเป็นอดีต ส.อบจ.นครราชสีมา) เล่าให้ฟังว่า “ตนเองนั้นได้รู้จักกับ พล.อ.เปรม ตั้งแต่เด็กๆ ในฐานะที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้มีความใกล้ชิดกับท่าน จนกระทั่งเมื่อปี 2544 ขณะนั้นคนจัดทำอาหารของท่านเสียชีวิตลง ท่านจึงหาคนจัดทำอาหารคนใหม่ และถือเป็นความโชคดีของตน ที่ขณะนั้นครอบครัวประกอบธุรกิจโรงแรมราชพฤกษ์ ซึ่งมีความถนัดด้านบริการอาหารอยู่แล้ว จึงอาสาเข้าไปทำให้ท่าน”
“ปรากฏว่าอาหารถูกปาก ถูกใจท่านมาก ต่อมาท่านจึงเรียกตนเข้าพบ และบอกว่าต่อจากนี้ไปขอให้มาดูแลเรื่องอาหารให้ท่านประจำเลย และท่านบอกว่าให้เรียกท่านว่า “ปู่” แทนตัวท่าน เพราะให้ถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน”
“หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ท่านมาโคราช ก็จะมาเยี่ยมครอบครัวของตนเป็นประจำ โดยท่านชอบมาแบบส่วนตัวเงียบๆ ไม่มีทหารติดตามมากมายเหมือนคนสำคัญระดับประเทศทั่วไป ท่านชอบมาเล่นกับหลานๆ บางครั้งก็เรียกครอบครัวเข้าไปพบในบ้านของท่าน ที่บริเวณถนนสืบศิริ”
“ส่วนตนนั้นมีโอกาสใกล้ชิดกับท่านมาก บ่อยครั้งที่ท่านเรียกให้ตนขับรถไปรับที่บ้าน เพื่อขับพาไปวิ่งชมเมืองโคราชตามจุดต่างๆ พร้อมกับถามไถ่ถึงเมืองโคราชว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งตนก็เล่าให้ฟังทุกเรื่องที่รู้ให้ท่านฟัง แม้แต่ตอนที่ตนแต่งงาน พล.อ.เปรม ก็ได้เขียนคำอวยพรด้วยลายมือลงในแผ่นกระดาษเล็กๆ ให้ มีใจความว่า “ขอให้โจ้และภรรยา มีความสุข และสมปรารถนาทุกอย่าง” พร้อมลายเซ็น ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งตนเองได้นำมาใส่กรอบรูปไว้อย่างดี”
นายองอาจ กล่าวอีกว่า “จนกระทั่งช่วงหนึ่ง ตนเองได้ลงสมัครสมาชิกสภาเทศบาลนครนครราชสีมา ท่านก็พูดบอกว่า อย่าเล่นการเมืองเลย ให้ทำธุรกิจไปเหมือนเดิมจะดีกว่า แต่เมื่อเห็นความตั้งใจของตนแล้ว ท่านก็บอกว่า ถ้าอยากจะเล่นการเมืองจริงๆ ก็ต้องยึดถือคติที่ว่า “ถ้าเล่นการเมืองอย่างจริงจัง ก็ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน” ซึ่งคำนี้ตนก็ได้ยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด”
“ขณะเดียวกันอีกมุมที่คนให้ความสนใจมาก คือเรื่องของการรักษาสุขภาพของท่าน เพราะท่านถือว่าเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงดีมาก จนอายุยืนถึง 99 ปีแล้ว ก็ยังสามารถยืนตัวตรงเป๊ะ ซึ่งเรื่องนี้ตนก็พยายามสังเกตตลอด ท่านเป็นคนที่แม้จะอายุมากแล้ว แต่ความจำแม่นมาก รู้ว่าคนนี้ชื่ออะไร มีพ่อเป็นทหาร ตำรวจ ยศไหน จำได้หมด”
นายองอาจ กล่าวต่อว่า “เคล็ดลับของท่านตนเชื่อว่ามาจากการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย โดยท่านชอบรับประทานอาหารง่ายๆ ไม่หรูหรา เช่น ปลาต้ม ปลานึ่ง น้ำพริกไม่เผ็ด ผักต้ม ขนมข้าวฟ่าง ยำส้มโอ ส่วนการออกกำลังกาย ตอนท่านแข็งแรงก็ชอบตีกอล์ฟ แต่พออายุมากขึ้นก็จะชอบเดินออกกำลังกายแทน”
“เมื่อถามถึงความรู้สึก หลังจากที่ท่านถึงแก่อสัญกรรมไป ตนเองทราบข่าวก็รู้สึกเศร้าใจมาก เพราะท่านคือคนสำคัญระดับชาติ คนในประวัติศาสตร์ที่วางตัวติดดินมาก ท่านเคยสั่งสอน ติติงตนหลายอย่าง แต่มาวันนี้ท่านไม่อยู่แล้ว ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะบอกใครได้ ตอนนี้เหมือนสูญเสียคุณปู่ คนในครอบครัวไปตลอดกาล” นายองอาจ กล่าวทิ้งท้าย
ด้านนางนงลักษณ์ พฤกษ์พนาเวศ แม่ของนายองอาจ กล่าวเสริมว่า “ตนเองนั้นได้ดูแลเรื่องอาหารของท่านมาโดยตลอด ซึ่งท่านชอบรับประทานอาหารประเภทปลามาก และไม่ชอบรับประทานอะไรที่เป็นของมันๆ ส่วนผลไม้ที่ชอบที่สุดคือกล้วยน้ำหว้า ท่านจะทานทุกวัน อีกอย่างขนมครกก็ชอบ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านสุขภาพแข็งแรงดีก็ได้”
“ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมที่บ้าน ก็จะมาเล่นกับหลานๆ ชอบหยอก ชอบอุ้มหลานๆ มีครั้งหนึ่งท่านมาช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่ปรากฏว่าท่านแต่งตัวชุดสีดำมา พบกับลูกหลานแต่งชุดสีแดง ยังหยอกว่าทำไมไม่บอกว่าจะใส่ชุดสีแดงกัน ปู่เลยกลายเป็นแกะดำอยู่คนเดียวเลย แล้วท่านก็ขำ และท่านชอบสุนัขมาก มีประกวดสุนัขเมื่อไหร่จะต้องให้ลูกชาย (สจ.โจ้) พาไปทุกครั้ง”
“แต่ทั้งนี้อายุขัยของคนเราก็ไม่แน่นอน ตนเองก็ยังพูดกับลูกชาย (สจ.โจ้) เลยว่า วันก่อนยังเห็นท่านออกงานอยู่เลย มาไม่กี่วันท่านเสียซะแล้ว ตอนนี้ตนและคนในครอบครัวรู้สึกเสียใจมาก โดยหลังจากนี้ก็จะเก็บรูปภาพที่เคยถ่ายไว้กับท่าน ใส่กรอบอย่างดี ถ้ามีโอกาสก็อยากจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ไว้ให้ลูกหลานได้ดูในอนาคตต่อไป”