ไม่ยอมเงียบ “ชาวบัวใหญ่ และ 7 อำเภอโคราช” ได้ทีกลุ่มสามมิตร “สมศักดิ์ เทพสุทิน และภิรมย์ พลวิเศษ” บุกบัวใหญ่ พบประชาชนในพื้นที่ รับฟังปัญหาประชาชน พร้อมเรียกร้อง “บิ๊กตู่” ให้ใช้ ม.44 จัดตั้งจังหวัดบัวใหญ่ แยกออกจากโคราช ลั่นยกระดับขึ้นเป็นจังหวัดได้ ก็จะมีงบประมาณสนันสนุน พร้อมเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ และแหล่งอุตสาหกรรมอีกแห่งของภูมิภาค

หลังจากเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และภิรมย์ พลวิเศษ แกนนำกลุ่มสามมิตร ได้นัดพบปะและรับฟังปัญหาจากประชาชนในเขตอำเภอบัวใหญ่ และอำเภอใกล้เคียง 7 อำเภอ ของจังหวัดนครราชสีมา โดยมีชาวบ้านกว่า 1,000 คน เดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรม ที่บ้านของนายภิรมย์ ในตำบลด่านช้าง อำเภอบัวใหญ่

โดยในระหว่างการพูดคุย นายคำพันธ์ บุญยืด ตัวแทนกลุ่มประชาชนอำเภอบัวใหญ่ ได้เสนอให้กลุ่มสามมิตรติดตามทวงถามรัฐบาลในประเด็นขอแยกตัวออกจากจังหวัดนครราชสีมา ตั้งเป็น “จังหวัดบัวใหญ่” เพราะพื้นที่นี้ห่างจากตัวจังหวัดนครราชสีมา มากกว่า 100 กิโลเมตร รวมทั้งมองว่าจังหวัดนครราชสีมา มีถึง 32 อำเภอ จัดสรรงบประมาณไม่ครอบคลุมทั่วถึง ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวแทนชาวอำเภอบัวใหญ่และอำเภอใกล้เคียง เคยยื่นหนังสือขอแยกเป็นจังหวัดบัวใหญ่ต่อกระทรวงมหาดไทยแล้วหลายครั้ง และเคยเรียกร้องให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีใช้มาตรา 44 ประกาศตั้ง “จังหวัดบัวใหญ่” ขึ้น

ทำให้ประเด็น “จังหวัดบัวใหญ่” ถูกหยิบยกนำมาพูดคุยในวงสนทนาอีกครั้ง หลังจากมีข้อเสนอโดย นายอรุณ อัครปรีดี พร้อมกับประชาชนจำนวน 20,582 คน ยื่นรายชื่อเสนอกฎหมาย “ร่างพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบัวใหญ่ พ.ศ. …”  เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2555  และก่อนหน้านั้นได้ยื่นต่อ นายโกศล ปัทมะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ขอให้แยกอำเภอบัวใหญ่ออกจากจังหวัดนครราชสีมา มาเป็น “จังหวัดบัวใหญ่”

เนื่องจากอำเภอบัวใหญ่ และอำเภออื่นๆ ที่ต้องการแยกเพราะห่างไกลความเจริญ และต่อมาในปี พ.ศ. 2557 ร่างพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบัวใหญ่ดังกล่าวสิ้นสุดลง ภายหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติเข้ายึดอำนาจการปกครอง จึงส่งผลให้การเสนอเรื่องตกไป แต่เมื่อเข้าใกล้ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนมีการเลือกตั้ง ก็ได้มีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยอีกครั้ง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 นายอรุณ อัครปรีดี  แกนนำคนสำคัญในการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการจัดตั้งจังหวัดบัวใหญ่ ได้เปิดเผยว่า “ประเด็นการตั้งจังหวัดบัวใหญ่นั้นได้ถูกพูดถึงมาตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งมีการนำมาเสนอขึ้นใหม่ เพื่อผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่ม แต่เพื่อเป็นการแยกออกเพื่อผลประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ของประชาชนใน 8 อำเภอเอง เนื่องจากสมัยก่อนบริเวณนี้เรียกว่า “ด่านนอก” เป็นเมืองหน้าด่านของจังหวัดนครราชสีมา เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปงบประมาณในการพัฒนาจะเน้นหนักไปในการพัฒนาแหล่งน้ำที่หล่อเลี้ยงในเขตเมืองเป็นหลัก ทำให้แหล่งน้ำของทั้ง 8 อำเภอเริ่มเสื่อมโทรม จนหลายแห่งไม่สามารถใช้การได้ในที่สุดนำมาซึ่งความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านในพื้นที่”

“ส่วนความพร้อมในการพัฒนาเป็นจังหวัดนั้นทุกภาคส่วนมีความพร้อมมากที่สุดขาดเพียงการสนับสนุนจากภาครัฐเท่านั้น เนื่องจากในพื้นที่ของทั้ง 8 อำเภอนั้นมีแหล่งท่องเที่ยวที่พร้อมพัฒนาให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวอยู่แล้วแต่ที่ผ่านมาขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดี และเชื่อว่าถ้าอำเภอบัวใหญ่ได้ยกระดับขึ้นเป็นจังหวัด จะทำให้ชีวิตของประชาชนใน 8 อำเภอดีขึ้นอย่างแน่นอน”

ด้าน นายคำพันธ์ บุญยืด ทีมงานและเลขานุการกลุ่มฯ ก็ได้เปิดเผยอีกว่า “ที่ผ่านมาได้ทำตามขั้นตอนการยื่นกฎหมายภาคประชาชนจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ซึ่งร่างดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของ สนช. และตราบใดที่ชาวบ้านในพื้นที่ยังมีความเหลื่อมล้ำในสังคมอยู่ ทางกลุ่มก็จะไม่หยุดการเคลื่อนไหว เพราะถ้าเมื่อใดที่อำเภอบัวใหญ่ได้ยกระดับขึ้นเป็นจังหวัดแล้วนั้น ทุกอย่างก็จะดีขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้นด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวบัวใหญ่เรียกร้องมาโดยตลอด”

ส่วน นายสิทธิโชค ลิ้มสุวัฒน์  ตัวแทนภาคประชาชน กล่าวเพิ่มเติมว่า “การพัฒนาในอำเภอบัวใหญ่นั้นสำหรับคนรุ่นใหม่ถ้าสามารถยกระดับขึ้นเป็นจังหวัดได้ ก็จะมีงบประมาณสนันสนุนเป็นของตัวเอง แล้วจะกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ รวมถึงเป็นแหล่งอุตสาหกรรมอีกแห่งที่สำคัญของภูมิภาคนี้ทันที จะมีการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับชาวบ้านในพื้นที่ และการพัฒนาการท่องเที่ยว บัวใหญ่เองมีวัฒนธรรมด้านอาหารที่เด่นชัด และถือว่าเป็นจุดแข็ง จุดขาย ที่สามารถยกมาประชาสัมพันธ์ได้ รวมถึงการพัฒนาด้านกีฬา ที่ผ่านมาในพื้นที่ 8 อำเภอ มีเด็กที่มีศักยภาพทางด้านกีฬามากมายหลายคน แต่ก็ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐเท่าที่ควร ดังนั้นการยกระดับอำเภอบัวใหญ่ขึ้นเป็นจังหวัดนั้น จะทำให้ประชาชนใน 8 อำเภอได้รับประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็น”